|
ประวัติหลวงปู่กลิ้ง
สนฺติภูโต
|
|
|
 |
ประวัติ
พระครูนิวาตธรรมโกศล
(กลิ้ง สนฺติภูโต)
เจ้าอาวาสวัดเกรียงไกรเหนือ เ จ้าคณะตำบลเกรียงไกร
อำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์
ชาติกำเนิด
พระครูนิวาสธรรมโกศล
เดิมชื่อกลิ้ง นามสกุล เพชรสอาด เกิดเมื่อวันที่ ๒ เมษายน
พ.ศ.๒๔๓๕ ตรงกับวันเสาร์ ขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๕ ปีมะโรง จุลศักราช๑๒๕๔
ณ ที่บ้านทับกฤช หมู่ที่ ๗ ตำบลทับกฤช อำเภอชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์
บิดาชื่อนาย อ่ำ เพชรสอาด มารดาชื่อ นางแหน เพชรสอาด มีพี่น้องร่วมสายโลหิตเดียวกันรวม
๕ คน ดังนี้
๑. นางแผ้ว
๒. ไม่ทราบชื่อแต่เป็นชาย ( เสียชีวิตแต่ยังเยาว์)
๓. นายโอ้ด (เสียชีวิตไปแล้ว)
๔. พระครูนิวาสธรรมโกศล (กลิ้ง เพชรสอาด)
๕. นายแป้น (เสียชีวิตไปแล้ว)
|
|
การศึกษา บรรพชา อุปสมบท |
|
|
...........เมื่ออายุประมาณ
๑๒
ขวบ
บิดาได้นำมาฝากให้เรียนหนังสือไทยอยู่ที่สำนักวัดสว่างอารมณ์ (ทับกฤชใต้)
อำเภอชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์ โดยเรียนอยู่กับพระภิกษุน้อยซึ่งมีฐานะเป็นน้า
พอเริ่มเรียนหนังสือไทยได้พออ่านออกเขียนได้พระภิกษุน้อยผู้เป็นครู
จึงได้ให้เรียนภาษาขอมควบคู่กันไปด้วย (เพราะในสมัยก่อนนั้นขอมมามีอำนาจอยู่ในเมืองไทยคนไทยจึงนิยมให้บุตรหลานเรียนหนังสือขอมกันว่าได้บุญได้กุศล)
เรียนอยู่ประมาณ ๒ ปีเศษ การเรียนหนังสือทั้งภาษาไทยและขอม นับอยู่ในเกณฑ์พอใช้ได้
อ่านออกเขียนได้คล่องแคล่ว แล้วจึงเริ่มตั้งต้นเรียนมูลกระจายที่สำนักเรียนเดิม
แต่มีท่านอุปัชฌาย์ภู่เป็นครูผู้สอน พอเรียนมาได้ประมาณ ๑ ปีเศษ
ท่านพระอุปํฌาย์ภู่ ได้ถึงแก่มรณภาพเสียก่อนที่การเรียนมูลกระจายจะสำเร็จ
เมื่อเหตุการณ์เป็นดังนี้ นายเผือกซึ่งมีฐานะเป็นอาของท่านเห็นว่าเคว้งคว้างในเรื่องการเล่าเรียน
จึงได้นำท่านไปเรียนต่ออีกโดยนำไปฝากไว้กับพระครูสวรรค์วิถีสุทธิอุตตมคณาจารย์สังฆปาโมกข์
(ครุฑ) ณ สำนักวัดเขาจอมคีรีนาคพรตเป็นเวลา ๑ ปี แต่ยังไม่สำเร็จประจวบกับเวลานั้น
พระครูสวรรค์วิถีสุทธิอุตตมคณาจารย์สังฆปาโมกข์ (ครุฑ) ทราบว่าที่วัดตะแบก
ตำบลปากน้ำโพ อำเภอเมืองนครสวรรค์ ได้จัดสอนโรงเรียนมูลกระจายขึ้น
โดยจ้างครูมาทำการสอนท่านจึงได้นำมาฝากให้เข้าเรียนมูลกระจายต่อ
ณ วัดตะแบกนี้ และให้บรรพชาเป็นสามเณร โดยมีมหาโตเป็นครูผู้ทำการสอน
เรียนอยู่ได้ ๑ ปี มหาโตได้ออกไป ทางโรงเรียนจึงหาครูมาทำการสอนอีกไม่ได้
ความนี้ทราบถึง พระครูสวรรค์วิถีสุทธิอุตตมคณาจารย์สังฆปาโมกข์ (ครุฑ)
ท่านจึงได้เอามาฝากให้เข้าเรียนยังสำนักเรียนวัดศีรษะเมือง (วัดนครสวรรค์
ปัจจุบัน) มีมหาพุฒ (คฤหัสถ์) เป็นครูผู้สอน ในสำนักเรียนนี้คงเรียนมูลกระจายต่ออีกเช่นเดิม
ในระหว่างเรียนมูลกระจายอยู่ ณ สำนักเรียนนี้ได้เริ่มเรียนธรรมบทขุทกนิกายควบคู่กันไปด้วย
ประมาณ ๒ ปี
เมื่อเริ่มอายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ บิดา มารดา ของท่านพระครูนิวาสธรรมโกศลจึงได้นำตัวมาอุปสมบท
ณ พัทธสีมาวัดเกรียงไกรใต้ โดยมีพระครูสวรรค์วิถีสุทธิอุตตมคณาจารย์สังฆปาโมกข์
(ครุฑ) เป็นพระอุปชายะ พระอาจารย์ทองอยู่ เจ้าอาวาสวัดนครสวรรค์
เป็นกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์นิ่มอินทโชโต วัดนครสวรรค์ เป็นอนุสาวนาจารย์
..........เมื่ออุปสมบทเรียบร้อยแล้วได้กลับไปศึกษาเล่าเรียนต่ออยู่
วัดนครสวรรค์เดิม ได้เริ่มเรียนสมถกรรมฐานกับพระปริยัติธรรมควบคู่กันไปด้วย
ขณะที่เรียนสมถกรรมฐานกับหลวงพ่อทองวัดเขากบ (วัดวรนาถบรรพต) ที่วัดนครสวรรค์
ได้เล่าเรียนอยู่ ๕ พรรษา จนไม่มีครูจะทำการสอนต่อไป จึงย้ายจากวัดนครสวรรค์ไปจำพรรษาและทำสมถกรรมฐานอยู่กับหลวงพ่อทอง
วัดเขากบ อีก ๑ พรรษา เพื่อให้เชี่ยวชาญในการทำสมถกรรมฐานยิ่งขึ้น
ครั้นทำสมถกรรมฐานได้แล้ว จึงได้ย้ายมาจำพรรษาอยู่ที่วัดคงคาราม
(เกรียงไกลกลาง) เมื่ออยู่วัดคงคารามนี้ได้เรียนแปลพระปาฏิโมกข์กับมรรวิภังค์
และสติปัฏฐาน อยู่กลับพระอาจารย์พลับ เรียนอยู่ได้ ๑ พรรษา ต่อมาพระอาจารย์นิ่ม
อินทโชโต ซึ่งเป็นอนุสาวนาจารย์ ได้ย้ายไปเป็นเจ้าอาวาสวัดตลิ่งชัน
(วัดพรหมจริยาวาส) จึงได้รับไปอยู่วัดตลิ่งชันด้วย เพื่อให้ช่วยสวดปาฏิโมกข์และจำพรรษาที่วัดตลิ่งชันนี้
๒ พรรษา
..........ต่อจากนั้นได้ย้ายไปจำพรรษาที่วัดทับกฤชใต้
ตามคำขอร้องของญาติโยมต่อไป ขณะที่อยู่วัดทับกฤชใต้นี้ มีพระปลัดวาสเป็นเจ้าอาวาสที่วัดทับกฤชใต้
นี้ยังไม่มีโรงเรียนที่จะทำการสอนเด็กไทย ท่านจึงได้เริ่มทำการสอนหนังสือไทยแก่ศิษย์วัด
อยู่เป็นเวลา ๔ ปี ปรากฏว่าศิษย์ของท่านได้รับความรู้ไปหลายคน จนได้เป็นปลัดอำเภอ
เสมียนตราอำเภอ และครูประชาบาล (ปัจจุบันไม่ทราบว่าดำรงตำแหน่งอยู่หรือเปล่า)
ต่อมาท่านเจ้าคุณญาณกิติ วัดเขาแก้ว เจ้าคณะจังหวัดนครสวรรค์ ทราบว่าเจ้าอาวาสวัดหัวกระทุ่มไม่อยู่จึงสั่งให้ท่านไปรักษาการแทน
วัดนี้อยู่ตำบลพิกุล อำเภอชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์ ในระหว่างที่ท่านรักษาการแทนนี้ได้เริ่มจัดการผูกพัทธสีมาขึ้น
เพื่อให้เป็นที่ประกอบศาสนกิจในบวรพระพุทธศาสนาเป็นที่เสร็จเรียบร้อย
ต่อเจ้าอาวาสวัดหัวกระทุ่มกลับมา ท่านจึงได้มอบศาสนสมบัติของวัดคืนให้ดังเดิม
และกลับไปจำพรรษาอยู่ที่วัดทับกฤชใต้นี้ ได้ช่วยเหลือปลัดวาสทำการซ่อมแซมโยกย้ายสร้างกุฏิเพื่อให้พระภิกษุสามเณรอาศัยอีกหลายหลัง
และมื่อว่างจากศาสนกิจก็ได้ทำการสอนหนังสือไทยให้แก่ศิษย์วัดอีกเป็นเวลา
๒ ปีเศษ
..........กาลต่อมาญาติโยมทางบ้านท่าดินแดง
ได้มีนายโห้ บุญกลิ่นขจร นายปลื้ม นกเพ็ง เป็นหัวหน้าได้ไปขอร้องต่อท่านพระครูนิภากรโศภณ
(นิ่ม อินทโชโต) เจ้าคณะอำเภอชุมแสงให้จัดการสร้างวัดขึ้นใหม่ที่บ้านท่าดินแดง
แต่ยังขาดพระผู้เป็นเจ้าที่จะไปเป็นเจ้าอาวาส จึงขออาราธนาพระกลิ้ง
สนฺติภูโต ไปเป็นเจ้าอาวาสวัดนี้ เมื่อท่านพระครูนิภากรโศภณทราบความดีแล้วจึงให้ไปเป็นเจ้าอาวาสวัดท่าดินแดง
(เกรียงไกรเหนือ) ประชาชนและชาวบ้านท่าดินแดง ได้จัดขบวนแห่ไปรับท่านมาจากวัดทับกฤชใต้ตั้งแต่ปี
พ.ศ. ๒๔๗๕ เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบันนี้ วัดท่าดินแดงนี้ปัจจุบันทางกรมศาสนาได้เปลี่ยนชื่อเป็นวัดเกรียงไกรเหนือตั้งแต่ปี
พ.ศ. ๒๔๗๙
|
|
เกียรติคุณของท่านเมื่อมาดำรงตำแหน่ง
เจ้าอาวาสวัดเกรียงไกรเหนือ |
|
..........วัดนี้เดิมมีกุฏิเป็นที่พักอาศัยของพระเพียง
๒ หลังเท่านั้น
และเป็นวัสดุก่อสร้างที่ได้มาจากของเก่า ๆ ทั้งสิ้น พระสงฆ์ก็มีเพียง
๒-๓ รูปเท่านั้น ต่อมาท่านจึงเริ่มทำการปฏิสังขรณ์วัดแต่นั้นเป็นต้นมา
โดยขอความร่วมมือจากประชาชนจัดการปลูกกุฏิขึ้นอีก ๒ หลัง และจัดการสร้างศาลาโดยใช้พื้นปูกับดิน
เพื่อให้ประชาชนได้ประกอบการกุศลชั่วคราวขึ้นอีก ๑ หลัง ต่อมาได้จัดสร้างโรงเรียนขึ้นเพื่อให้เด็ก
ๆ ในบริเวณนี้ได้เล่าเรียนโดยท่านเป็นครูผู้สอนเอง ครั้งแรกมีนักเรียน
ชาย หญิงประมาณ ๓๐ คนเศษ ท่านสอนโดยไม่ได้รับสินจ้างรางวัลแต่อย่างใด
เมื่อสิ้นปีการศึกษาท่านได้พาลูกศิษย์ของท่านไปร่วมสอบความรู้ประถมปีที่
๖ ณ สนามสอบโรงเรียนวัดทับกฤชใต้ ปรากฏว่าศิษย์ของท่านสอบได้หลายคน
ลูกศิษย์ของท่านที่จำได้นี้มี
๑. นายสง่า ศิลปะสุวรรณ ครูใหญ่โท
๒. นายสง่า เพ็งสว่าง ครูวัดพนมเศษ
๓. นายลำจวน อยู่สิน ตำรวจตระเวนชายเดน
และคนอื่น ๆ อีกทั้งไม่ปรากฏที่อยู่
เมื่อต้นปี พ.ศ.๒๔๗๘ วัดท่าขี้เหล็ก (ในบึงบอระเพ็ด) ได้ถูกทางราชการกรมประมง
สั่งให้โยกย้ายมารวมกับวัดท่าดินแดง โรงเรียนประชาบาลของวัดท่าขี้เหล็กได้ย้ายดิดตามมากับวัดด้วยและได้มีการวอนขึ้นที่วัดท่าดินแดงนี้
ท่านจึงได้มอบลูกศิษย์ของท่านเข้าโรงเรียนประชาบาล แล้วท่านจึงหยุดการสอนตั้งแต่บัดนั้นมา
และได้หันมาฝักใฝ่ทางด้านการสอนพระปริยัติธรรมได้เริ่มเปิดการสอนพระปริยัติธรรมขึ้น
เพื่อให้ภิกษุ สามเณร ได้เล่าเรียนสืบต่อมาตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๗๙ โดยท่านเป็นผู้สอนเอง
ต่อมาพระภิกษุ สามเณรมีมากขึ้น จึงได้จัดพระที่มีความรู้ช่วยสอนทุก
ๆ ปีเสมอมา
ด้วยเกียรติคุณความดี ที่ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดนี้อยู่ ๕ ปี ทางการปกครองคระสงฆ์โดยมีพระเทพโมลี
เจ้าคณะจังหวัดนครสวรรค์ ได้แต่งตั้งให้รับภารธุระทางพระพุทธศาสนา
เป็นเจ้าคณะหมวด ผู้ว่าวัดทั้งหลายในหมวดเกรียงไกร แขวงชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์
เมื่อวันที่ ๑๐ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๘๐
ภาะธุระของหลวงปู่ ที่สำคัญ ๆ ในระหว่างที่เป็นเจ้าคณะหมวดนี้คือ
๑. จัดการสร้างศาลาการเปรียญขึ้น ๑ หลังขนาดกว้าง ๘ วา ยาว ๑๓ วา วัสดุการสร้างได้มาจากศาลาเก่าวัดท่าขี้เหล็กบ้าง
จัดหามาใหม่บ้าง สิ้นค่าก่อสร้างประมาณ ๕,๐๐๐ บาท
๒. จัดก่อสร้างพระอุโบสถขึ้น ๑ หลัง ด้วยความช่วยเหลือของรัฐบาล ได้อนุมัติเงินช่วยเหลือมา
๘,๐๐๐ บาทโดยมีนายฟุ้ง ศรีวิจารณ์ ศึกษาธิการจังหวัดนครสวรรค์ เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างและควบคุม
แต่เนื่องจากวงเงินมีน้อยการก่อสร้างจึงยังไม่สำเร็จ ยังขาด ฝาผนัง
ประตู หน้าต่าง
๓. เมื่อเห็นว่ามีตัวพระอุโบสถแล้วจึงขออนุญาตผูกพัทธสีมา เพื่อให้เป็นวิสุงคามสีมา
ที่ใช้ทำธุรกิจทางศาสนาสืบต่อไป
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงได้พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ผูกพัทธสีมาได้
เมื่อวันที่ ๒๒ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๘๒ แต่ในปีนี้การก่อสร้างยังไม่เสร็จพอที่จะผูกพัทธสีมา
จึงได้ เลื่อนการผูกพัทธสีมาไปทำในปีพ.ศ.๒๔๘๓ โดยได้รับความร่วมมือจากพระภิกษุ
สามเณรในวัด และประชาชนใกล้เคียงเป็นอย่างดียิ่ง
๔. ได้จัดหาหาเงินและวัสดุก่อสร้างสร้างหอประชุมขึ้น ๑ หลัง เป็นอาคาร
๒ ชั้น เสาคอนกรีต กว้าง ๔ วา ยาว ๖ วา สิ้นค่าก่อสร้างประมาณ ๓๐,๐๐๐
บาทเศษ ในการก่อสร้างครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจาก นายบันลือ ลักษณะบุตร
หัวหน้าช่างก่อสร้างกรมประมงบึงบอระเพ็ด หมวดก่อสร้างหนองดุก เป็นผู้ทำการวางผังให้ระดับ
เทเสาคอนกรีต โดยมีนายหลำ บุญสำลี หัวหน้าคนงานพร้อมทั้งคนงานให้ความร่วมมือในการก่อสร้างนี้
และได้ช่างมาทำต่อจนสำเร็จโดยท่านควบคุมเอง |
|
|
|
ได้รับตราตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์ |
|
..........ด้วยคุณงามความดีของท่าน
พระพิมลธรรม สังฆมลตรีว่าการองค์การปกครอง ได้มีตราตั้งให้เจ้าอธิการกลิ้ง
สนฺติภูโต อายุ ๖๐ ปี ๓๙ พรรษา ตำแหน่งเจ้าคณะตำบล วัดเกรียงไกรเหนือ
อำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ เป็นพระอุปัฌายะในเขตตำบลเกรียงไกร
มีหน้าที่เป็นประธานในการบรรพชาอุปสมบท ตามบทบัญญัติแห่งสังฆาณัติระเบียบ
ตั้งแต่วันที่ ๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๙๕ เป็นต้นมา |
|
|
|
ได้รับ
สมณะศักดิ์เป็นพระครู |
|
.........ด้วยเกียรติคุณของท่านที่ได้ประกอบมาตั้งแต่ต้น
ดังนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
ปร.ได้มีพระบรมรานุญาตตราตั้งให้เจ้าอธิการกลิ้ง สนฺภูโต วัดเกรียงไกรเหนือ
เป็นพระครูนิวาตธรรมโกศล ตั้งแต่วันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๙๖ เป็นต้นมา
ในระหว่างที่ดำรงตำแหน่งเป็น พระครูนิวาตธรรมโกศลนี้ ได้กระทำภารกิจที่สำคัญ
ๆ คือ
๑. เมื่อวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ.๒๕๐๑ ได้เกิดวาตภัยอย่างร้ายแรง ทำให้ตัวพระอุโบสถปรักหักพังไม่สามารถที่จะประกอบพิธีสงฆ์
สังฆกรรมได้ ตลอดทั้งกุฏิชำรุด ๔ หลัง กอประชุมเสียหายเป็นอันมาก เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ท่านจึงได้ขอความความช่วยเหลือจากทางคณะสงฆ์และรัฐบาลเพื่อทำการบูรณะสิ่งที่ชำรุดทรุดโทรมจากวาตภัยครั้งนั้น
ทางราชการจึงได้อนุมัติเงินช่วยเหลือ เฉพาะเงินก่อสร้างพระอุโบสถมาจำนวน
๑๐,๐๐๐ บาท ท่านจึงได้จ้างช่างมาทำการรื้อซ่อมแซมใหม่ให้ขนาดกว้างถึงระเบียงพระอุโบสถคือ
กว้าง ๖ วา ๒ ศอก ยาว ๑๐ วา สิ้นค่าใช้จ่ายประมาณ ๒๐๐,๐๐๐ บาทเศษ (สองแสนบาทเศษ)
จำนวนเงินที่นอกเหนือจากทางราชการช่วยเหลือนี้ท่านได้เป็นผู้ดำเนินการจัดหามาสร้าง
จนเป็นผลสำเร็จเรียบร้อยดังที่ปรากฏอยู่ทุกวันนี้ สร้างเสร็จเรียบร้อยเมื่อ
พ.ศ.๒๕๐๖ ในการสร้างพระอุโบสถครั้งนี้มี นายณรงค์ สุริยฉันท์ สรเลขจังหวัดนครสวรรค์ได้เป็นกำลังสำคัญโดยชักชวนบรรดาข้าราชการ
พ่อค้า ประชาชน นำองค์กฐิน มาทอดที่วัดนี้ถึง ๒ ปี ติด ๆ กัน เพื่อนำจตุปัจจัย
สิ่งก่อสร้างมาร่วมสมทบ
๒. กุฏิชำรุดเสียหายใช้การไม่ได้ ดังนั้นในปีพ.ศ. ๒๕๐๗ ได้จัดการหาเงินและวัสดุมาก่อสร้างกุฏิขึ้น
๑ หลัง กว้าง ๓ วา ๒ ศอก ยาว ๔ วา ๑ ศอก ทรงมลิลา เสาคอนกรีต ค่าก่อสร้างประมาณ
๑๙,๐๐๐ บาทเศษ
๓. เมื่อพ.ศ.๒๕๐๗ ได้จัดการหาเงินและวัสดุมาก่อสร้างกุฏิขึ้น ๑ หลัง
กว้าง ๓ วา ๒ ศอก ยาว ๔ วา ๑ ศอก ทรงมลิลา เสาคอนกรีต มุงด้วยกระเบื้องดินเผา
ค่าก่อสร้างประมาณ ๑๙,๐๐๐ บาทเศษ
๔. เมื่อพ.ศ.๒๕๐๙ ได้จัดการหาเงินและวัสดุเพื่อสร้างกุฏิขึ้น ๑ หลัง
กว้าง ๓ วา ๒ ศอก ยาว ๔ วา ๑ ศอก ทรงมลิลา เสาคอนกรีต มุงด้วยกระเบื้องดินเผา
สิ้นค่าก่อสร้างประมาณ ๒๗,๐๐๐ บาทเศษ
๕. ได้จัดการหาเงินและวัสดุเพื่อสร้างชานกุฏิสามหลังให้ติดต่อกัน กว้าง
๖ ศอก ยาว ๑๒ วา สิ้นค่าก่อสร้างประมาณ ๓,๐๐๐ บาทเศษ
|
|
อุปนิสัยและความเป็นอยู่ |
|
.........เมื่อสรุปประวัติของท่านแล้วจะเห็นได้ว่า
ท่านเป็นผู้มีนิสัยรักการเล่าเรียนมาตั้งแต่ยังเยาว์
มีความมานะบากบั่นไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคทั้งปวง พูดน้อยแต่ทำจริง มีใจเมตตา
กรุณา ไม่เลือกมนุษย์และสัตว์ สิ่งที่ชอบที่สุดคือการปลูกต้นไม้ยืนต้นทุกชนิด
ใจคอมั่นคง สุขุมเยือกเย็น ทำอะไรไม่ผิดพลาดและถ้าลงรับปากใครว่าจะทำอะไรให้แล้ว
ถึงแม้จะเหนื่อยยากลำบากตรากตรำธุระกันการอย่างไรท่านจะต้องทำให้จนได้
ชอบเป็นผู้ประดิษฐ์คิดค้นเครื่องมือเครื่องไม้ต่าง ๆ ขึ้นไว้ใช้เองด้วยความประหยัด
ละเอียด ถี่ถ้วน ไม่ถือยศศักดิ์ ชอบการก่อสร้างทุกอย่าง ไม่ชอบพูดซ้ำซาก
ประการที่สำคัญประจำตัวท่านคือด่าใครไม่เป็นเป็น มีญาติผู้ใหญ่ของท่านเล่าให้ฟังว่าตั้งแต่อุปสมบทมาเคยได้ยินด่าใครเลย
แม้แต่จะโมโหถึงที่สุด เพราะถ้าท่านด่าใครแช่งใครแล้ว ผู้นั้นจะต้องเป็นไปตามปากของท่านทุกคน
ท่านมีความเป็นอยู่อย่างง่าย ๆ ไม่มีพิธีรีตองอะไร จะไปไหนอึกอักไปได้เลย
อากาศจะร้อนฝนจะตกท่านก็ไม่เคยย่อท้อ คงปฏิบัติกิจวัตรของท่านได้เสมอตราบจนกระทั่งถึงกาลมรณภาพลง
ณ วันที่ ๑๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ หลวงปู่ได้อาพาธอยู่ที่โรงพยาบาลสงฆ์และมรณภาพเมื่อวันที่
๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ รวมอายุ ๘๐ปี ๖ เดือน พรรษา ๖๐
ด้วยคุณานุภาพแห่งศีล สมาธิ ปัญญา และจริยวัตรอันเรียบร้อยและดีงามของหลวงปู่นั้น
นับได้ว่าเป็นผู้มีพระคุณแก่บรรดาสานุศิษย์เป็นอย่างมาก บรรดาข้าราชการ
พ่อค้า ประชาชนที่พบเห็นในตัวท่าน จึงพากันเลื่อมใสศรัทธา เคารพนับถือ
ในพระคุณของท่านเป็นอย่างมาก ยากที่จะหาผู้ใดเสมอเหมือน
|
|
เพื่อเป็นการแสดงถึงความกตัญญูกตเวทิตาคุณ ที่พระคุณท่านมีต่อเรามา
ณ โอกาสนี้
ขอน้อมมาด้วยความเคารพอย่างสูง
นายณรงค์ ฟูแย้ม
ครูใหญ่วัดเกรียงไกรเหนือ ผู้รวบรวมประวัติ (เดิม)
๒ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๐๙
และ
ขอนอบน้อมมาด้วยความเคาพอย่างสูง
(สงฺโฆ เม นาโถ. พระสงฆ์เป็นที่พึ่งของเรา)
พระโกวิทย์ จนฺทโก
(พร้อมกับคณะครู - นักเรียนศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์วัดเกรียงไกรเหนือ)
ผู้รวบรวมร้อยเรียงประวัติ (ใหม่)
๕ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๐ |
|
|
|
|